วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

True Lies

แอ๊คชั่นสุดมันส์..คนเหล็กผ่านิวเคลียร์ True Lies

หนังเก่าหลายปีแล้ว..แต่ดูเมื่อไหร่ก็ต้องอมยิ้มทุกครั้ง..สนุกแบบฮาๆ ลุ้นระทึกทุกช๊อด

เป็นหนังแอ๊คชั่นที่ผมชอบมากที่สุดเรื่องหนึ่ง เนื้อเรื่องสนุกน่าติดตาม บทบู้มันสะใจ วาบหวิวแบบตลก..(ชอบ ตอนนางเอกไปพบพระเอกที่โรงแรม แล้วเอาน้ำจากแจกันดอกไม้มาใส่ผม แล้วฉีกชุดให้เซ็กซี่..จากสาวเชยๆ ดูเซ็กซี่ไปในพริบตา)

....แฮร์รี่ ทัสเกอร์ (Arnold) ยอดสายลับแห่งองค์กร Omaga Sector ที่มีหน้าที่ต่อต้านการก่อการร้ายทุกรูปแบบแล้วก็คอยสืบเงื่อนงำแผนชั่วของผู้ที่ไม่หวังดีต่อประเทศ งานชิ้นล่าสุดก็คือการตามสืบหาหัวรบนิวเคลียร์ 4 หัวที่หายไป ก็ค่อนข้างแน่ล่ะครับว่าคนที่เอาไปคงไม่กะจะเอาไปเก็บไว้ดูเล่นแหงมๆ แฮร์รี่เลยต้องร่วมมือกับคู่หูสายลับอย่างอัลเบิร์ต กิ๊บสัน (Tom Arnold) ในการตามหาร่องรอยของพวกวายร้าย









เซ็กซี่แบบฮาๆ..ชอบฉากนี้จัง





แต่เรื่องราวไม่ได้มีแค่นั้นนะครับ มันยังมีพล็อตรองอีก นั่นคือเรื่องครอบครัวของแฮร์รี่ ที่กำลังจะเข้าข่ายบ้านแตกมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะดาน่า (Eliza Dushku) ลูกสาวตัวน้อยที่ริอ่านขโมยเงินพ่อ แล้วยังจะเฮเลน (Jamie Lee Curtis) ภรรยาสุดที่รักของเขาที่ชักจะเริ่มมีอะไรน่าสงสัย อย่างการไปนัดพบเจอหนุ่มแปลกหน้ายังเงี้ย เอ หรือเธอจะมีชู้กันแน่

งานนี้แฮร์รี่เลยต้องควบสองหน้าที่ครับ สายลับก็ต้องเป็นเพื่อบ้านเมือง แล้วก็ต้องหาทางปรับความเข้าใจกับเมียรักอีก เฮ่อ แล้วเรื่องมันจะลงเอยอีท่าไหนกันล่ะน้า

สิ่งที่คาดหวังได้เลยจากหนังของพี่ James Cameron นะครับ คือทุนสร้างมันต้องทะลุร้อยล้านแน่ๆ ฉากต่างๆ ก็เนรมิตแบบสร้างจริง ระเบิดก็เอากันจริงๆ ซึ่งใน TL นี่แค่ฉากเปิดก็พังกันไปเป็นแถบๆ แล้วล่ะครับ ซึ่งในเรื่องก็ยังอุดมฉากแอ๊คชั่นตามเคย ยิงกันตายเพียบ ระเบิดๆๆ ถล่มกันเต็มที่ไปเลย

ในส่วนของแอ๊คชั่นผมว่าไว้ใจได้ล่ะครับ มันออกมามันส์อยู่แล้ว แม้มุมกล้องจะไม่ได้หวือหวา มีการเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาซักเท่าไหร่ แต่ด้วยสถานการณ์น่ะครับต้องยอมรับว่าพี่ James แกทำออกมาได้ตื่นเต้นดี อย่างไอ้ฉากไล่ล่าช่วงกลางเรื่องเป็นต้น ที่แฮร์รี่ต้องสู้กับพวกคนลึกลับที่แอบติดตามเขา แล้วก็ล่ากันเรื่อยมาจนถึงซีเควนซ์ขี่ม้าล่า ซาลิม อาบู อาซิซ (Art Malik) หัวหน้าวายร้ายกลุ่มจีฮาร์ดสีเลือด ก็ออกมาน่าติดตามทีเดียวฮะ ล่ากันแบบเต็มที่กะให้เหนื่อยกันไปเลย ส่วนช่วงท้ายก็ยิงกันถล่มฐานทัพพวกมัน ตามด้วยการขี่เครื่องเจ็ทไปนยิงกราดอีก ผมว่าหนังทำเอาสะใจแบบสุดๆ ไปเลยล่ะครับ

อย่างนี้แหละครับพี่ James Cameron จะให้ไปตีกันใต้ถุนบ้านอย่างเดียวน่ะไม่ได้ครับ ต้องเอาให้มันเสียหายกันไปค่อนเมืองถึงจะสมศักดิ์ศรี
อิอิอิ อันนี้ไม่ได้กัดพี่เขาน่ะครับ เพราะผมว่าอะไรแบบนี้แหละที่เป็นเหมือนเอกลักษณ์ของพี่ James เขา ทำอะไรต้องยิ่งใหญ่ แล้วพวกเราก็พลอยสะใจตามกันไปด้วย

และอย่างที่บอกครับหนังเรื่องนี้มีแค่แอ๊คชั่นให้ดูอย่างเดียวซะเมื่อไหร่ มันยังมีความฮาแล้วก็เรื่องชีวิตของแฮร์รี่ใส่ลงไปด้วย ก็เรื่องเฮเลนเมียรักนี่แหละครับที่ดันไปแอบพบเจอกับหนุ่มท่าทางลุกลี้ลุกลนชื่อ ไซม่อน (Bill Paxton) ทำให้แฮร์รี่สงสัยว่าเมียเขาจะแอบนอกใจหรือเปล่า ก็เลยก่อเรื่องฮาๆ ช่วงกลางๆ ของหนังขึ้นมา

จริงๆ ผมก็คิดๆ นะว่ามันจะออกมาแปล้มๆ หรือเปล่า เพราะจะว่าไปหนังก็จับเอาเรื่องนี้มาเล่นแบบเต็มๆ เหมือนกัน แต่พอดูแล้วก็โล่งอกล่ะครับ เพราะพี่ James แกไม่ได้จับมาเล่นแบบเต็มที่ แต่แกปรับไงฮะ เอาแนวชีวิตมาผสมกับความเป็นหนังสายลับหนังแอ๊คชั่นตามไสตล์แกมันเลยกล้อมแกล้มไปกันได้ อย่างการที่แฮร์พยายามจะสืบว่าเมียเขายังรักเขาหรือไม่ แทนที่จะจัดฉากให้สองผัวเมียมาจับเข้าคุยกันแบบหนังชีวิตทั่วไป แกก็เล่นจัดสไตล์ให้เป็นหนังแนวสืบสวนแบบสายลับไปซะเลย ซึ่งออกมาก็ไม่ได้แปลกประหลาดทางอารมณ์แต่อย่างใดครับ แล้วยังได้รสฮาเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อยด้วย

ผมว่าเป็นแนวที่ดีนะ คือถ้าท่านอยากทำหนังอะไรซักอย่าง แต่เผอิญไม่เคยทำแนวนั้น เช่น ถนัดทำหนังแอ๊คชั่นมามากๆ แล้วอยากลองเพิ่มดราม่าลงมา แทนที่จะต้องมานั่งตั้งใจทำฉากดราม่าแบบ 100% ทั้งซีนไปเลย ก็อาจจะแค่ปรับครับ ปรับแนวเรื่องอย่างดราม่าให้มาผสมกับแอ๊คชั่นที่เราถนัดก็ได้ เหมือนเวลาเราซื้อปลาทองมาใหม่น่ะครับ เราซื้อใส่ถุงมาแล้วจะเอาไปปล่อยลงบ่อบ้านเรา หากเทพรวดลงไปเลยปลามันก็อาจจะปรับตัวไม่ทันได้ เราก็เลยต้องค่อยๆ หย่อนถุงลงไป ให้น้ำในถุงได้ผสมกับน้ำในบ่อนิดหน่อย แล้วค่อยให้ปลามันแหวกว่ายลงบ่อไป อะไรแบบนั้นแหละครับ

แล้วผลที่ได้แม้ส่วนของดราม่าจะไม่ได้ดีเต็มร้อย แต่ก็จัดว่าผ่านได้สบายๆ ครับ แล้วดีที่ดาราก็มืออาชีพกันมาด้วย โดยเฉพาะเจ๊ Jamie Lee Curtis ตอนที่เธอเอ่ยว่ายังรักสามีอยู่ แววตามันบอกครับว่าเธอไม่เคยลืมสามีเลย แต่สามีต่างหากล่ะที่ห่างเหินจากเธอ

จริงๆ ก็เป็นปมที่น่าคิดนะ (น่านพูดแบบนี้ทีไรล่ะ เป็นเตรียมหาเรื่องเม้าท์ออกจากหนังทุกที)

แฮร์รี่เองเป็นสายลับไงครับ อยู่องค์กรนี้มา 17 ปี ทำงานตะล่อนไปทั่วโลกเพื่อสู้กับผู้ร้าย จนไม่มีเวลาอยู่กับบ้าน แต่ทางบ้านไม่มีใครทราบครับ ทั้งเมียและลูกเข้าใจว่าแฮร์รี่ทำงานเกี่ยวกับด้านคอมพิวเตอร์ ออกแบบโปรแกรมอะไรแบบนั้น (แม้จะไม่น่าเชื่อก็เถอะครับว่าคุณเมียจะไม่ระแคะระคายเลยได้ยังไง แต่ก็พอทำใจรับได้)

มันก็ตลกดีครับ แฮร์รี่ตระเวนไล่ซัดกับผู้ร้าย ปกป้องประเทศไม่ให้โดนทำลาย แต่ครอบครัวตัวเองดันผุจนเกือบพังแล้ว ส่วนมากจุดนี้หนังหลายเรื่องก็เอาไปกัดนะ พวกที่ทำหน้าที่เพื่อบ้านเมืองแบบเต็มที่มักจะต้องแลกมาด้วยความสุขส่วนตัวเสมอ สังเกตสิครับตำรวจมือดีมักต้องหย่าทุกทีหรือไม่เมียก็ตาย

อย่าว่าแต่งานสายลับเลยครับ หากพูดเปรียบกับงานสายลับมันอาจดูไกลตัวไป เอาใกล้ๆ ดีกว่า อย่าง The Devils Wears Prada ไงครับล่ะครับ ประโยคเด็ดในเรื่องเลยก็คือ "ถ้าชีวิตส่วนตัวเธอพังทลายเมื่อไหร่ล่ะบอกฉันด้วย เพราะนั่นแปลว่าเธอกำลังจะได้เลื่อนขั้นแล้ว" ไม่ว่าจะทำงานใดก็เถอะ หากทุ่มให้งานนั้นมากเกินไป จนปล่อยปละด้านอื่นๆ หมด ด้านอื่นๆ ที่ว่านั่นมันก็ต้องเสื่อมโทรมเป็นธรรมดา เหมือนบอนไซเล็กๆ ที่เราเลี้ยงในห้องน่ะครับ ถ้าไม่คิดจะรดน้ำให้เลย มันจะอยู่รอดไปได้นานซักเท่าไหร่

บอนไซขาดน้ำแล้วตายฉันใด ชีวิตคู่ที่ขาดการใส่ใจก็เหี่ยวแห้งได้ฉันนั้น

ไม่ปฏิเสธครับว่าหนังเป็นบู๊เอามันส์ และในส่วนของดราม่ามันอาจจะไม่ได้คมเข้ม อาจจะไม่ได้จับประเด็นมาพูดอย่างลึกซึ้ง แต่อย่างน้อยผมว่ามันก็จับมาตรงจุดล่ะครับ ไม่ว่าจะเรื่องการทำงานจนลืมด้านอื่นๆ ไปหมด ด้านที่เหลือมันก็ย่อมเสื่อม หรือหากมองอีกด้านหนึ่ง หากเราทุ่มเฉพาะแต่เรื่องครอบครัวจนไม่คิดจะขยันทำงาน เรื่องงานของเราก็มีแววล่มจมเหมือนกัน

ดังนั้นเมื่อเรามีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องทำอย่างพอดีล่ะครับ ต้องมีแบ่งเวลา ทำหน้าที่ตรงนั้นให้ดีเต็มที่ อยู่ในที่ทำงานก็ทำงานให้เต็มที่ อยู่ในบ้านก็เป็นลมหายใจของคนที่เรารักให้มันเต็มที่ นั่นแหละส่วนต่างๆองชีวิตถึงจะสมดุลย์ การที่แฮร์รี่ต้องมานั่งปวดหัวกลัวเมียนอกใจก็เนื่องมาจากเขาไม่ค่อยใส่ใจเธออย่างที่ควรนั่นแหละ

ก็ฝากถึงท่านสุภาพบุรุษทั้งหลายล่ะนะครับ ถามตัวเองให้ดี ว่าเราน่ะใส่ใจงานมากจนลืมคนที่รักเราไปบ้างหรือเปล่า ถ้าใช่ก็รีบเตือนตัวเองครับ ยังไม่สายนะ

นี่ก็ประเด็นหนึ่ง ส่วนอีกอันที่ผมมองจากหนังก็ดูเหมือนว่าหนังจะทำกัดอเมริกาได้เหมือนกันน่ะแหละ เหมือนเปรียบครอบครัวทัสเกอร์เป็นสหรัฐอเมริกา ประมาณว่าทำตัวเป็นตำรวจโลกตระเวนปราบผู้ร้ายไปทั่ว แต่เอาเข้าจริงบ้านตัวเองน่ะยังจัดการให้เป็นสุขไม่ได้เล้ย นี่ก็มองได้อยู่นะ

ครับ ข้างบนนั้นจงใจน่ะฮะ ออกนอกเรื่องหน่อย แต่ก็ยังอยู่ในคอนเซปต์ครับ ดูหนังแล้วมันชวนคิดนี่หน่า อีกอย่างสังเกตดีๆ หนังพี่ James Cameron ระยะหลังๆ ก็มักจะมีเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวใส่ลงไปประจำ ไม่ว่าจะ Aliens, The Abyss หรือล่าสุดอย่าง Titanic ก็มีเหมือนกัน

แต่ครับ แต่กระนั้นหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้ยอดสุดหรอกนะครับ ถ้าเทียบชั้นกับคนเหล็กภาค 2 ก็คงต้องยกให้เรื่องนั้นในความมันส์ แต่ TL นี่ก็สนุกล่ะครับ ดูเพลิน แอ๊คชั่นดี ความฮาความสนุกต่างๆ ค่อนข้างครับ พวกดาราก็หายห่วงครับ พี่ Arnold ก็หมูๆ กับบทสายลับที่ฝีไม้ลายมือถือว่ามีพัฒนามากขึ้น พี่แกไม่ใช่ร่างทรงคนเหล็กแบบยุคแรกๆ อีกแล้วฮะ มีการแสดงอารมณ์ ออกท่าทางและเล่นมุขขำ ใช้ได้ทีเดียว

Jamie Lee Curtis แม้จะต้องมาทำใจดูเจ๊แกโง่ๆ หน่อยก็เถอะ แต่ อย่างน้อยฉากตอนเธอพูดว่ารักสามีก็ตีคะแนนได้เยอะเหมือนกัน

ส่วนตัวฮาของเรื่องก็มีสองตัวครับ คนแรก Tom Arnold ในบทอัลเบิร์ต คู่ซี้ของแฮร์รี่ที่เล่นมุขตลอด ฮาดีครับ แต่คนที่วาดลวดลายเยอะกว่าก็คือ Bill Paxton ในบทไซม่อน จอมกะล่อน นักตุ๋นสุดกวน ไอ้ฉากตอนพี่แกอวดดีก็น่าถีบล่ะครับ ตอนหมดท่านี่ก็ฮากันไปเยอะเหมือนกัน

แล้วหนังยังได้ดารารุ่นเก๋าอย่าง Charlton Heston มาเป็น สเปนเซอร์ ทริลบี้ หัวหน้างานองค์กร Omaga ที่ไม่ต้องทำอะไรมากครับ นั่งนิ่งๆ แล้วก็สั่งงานไปเท่านั้นเอง และที่ลืมไม่ได้คือสาวสวย Tia Carrere ในบทจูโน่ สกินเนอร์ สาวร้ายที่ร่วมมือกับพวกผู้ก่อการร้ายในการวางระเบิด ก็สบายอีกเช่นกันครับ แค่แววตาก็เหลือกินแล้ว ดูชั่วร้ายดี แล้วยังเซ็กซี่สุดๆ อีกด้วย ในขณะที่ Art Malik เจ้าของบทอาซิซ หัวหน้าผู้ร้ายก็ผูกขาดบททำนองนี้อยู่แล้วครับ แค่บ้าคลั่งไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง และปิดท้ายด้วย Eliza Dushku ที่หนุ่มๆ น่าจะจำได้บทเฟธในหนังชุด Buffy ก็มาเล่นปเนลูกสาวของแฮร์รี่

นำแสดงโดย
อาร์โนลด์ ชวาสเซเนเกอร์ ...แฮร์รี่ ทั้กสเกอร์
เจมี่ เคอร์ทิส ...เฮเลน
บิล แพ็กซ์ตัน ...ไซมอน

ไม่มีความคิดเห็น:

Powered By Blogger